บล็อก

ESG และ Resilience: บทเรียนจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย

01 เมษายน 2568

esg-and-resilience-972x1296

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นล่าสุดในประเทศไทยเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แม้ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวแผ่นเปลือกโลกชนกันโดยตรง แต่ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีแผ่นดินไหวขนาด 4.0 ขึ้นไปเกิดขึ้นมากกว่า 100 ครั้ง โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีรอยเลื่อนที่ยังมีพลัง

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและความไม่แน่นอนของภัยพิบัติ แนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) และ Resilience (ความสามารถในการฟื้นตัว) กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ภาคธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ และภาครัฐต้องนำมาใช้เพื่อพัฒนาเมืองให้ปลอดภัยและยั่งยืน

ESG กับการพัฒนาเมืองให้ทนทานต่อแผ่นดินไหว


1. Environmental (สิ่งแวดล้อม): การก่อสร้างที่ยั่งยืนและทนต่อแรงสั่นสะเทือน

ปัจจุบันมาตรฐานการก่อสร้างที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยจากแผ่นดินไหวยังไม่ถูกนำมาใช้แพร่หลายในไทย แม้ว่าในกรุงเทพฯ จะมีอาคารที่ผ่านมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) และ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) แล้วกว่า 200 แห่ง แต่ก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับอาคารพาณิชย์นับพันแห่ง

มาตรฐานอาคารที่ควรปรับใช้เพื่อเพิ่มความยั่งยืนและความปลอดภัย ได้แก่:

•  การออกแบบโครงสร้างให้ทนแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐานสากล
•  การใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงเพื่อลดความเสียหาย
•  การพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ได้พัฒนาเทคโนโลยีโครงสร้างอาคารที่สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนสูงถึง 9.0 ริกเตอร์ ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและความเสียหายของอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Social (สังคม): ความปลอดภัยของประชาชนและการเตรียมพร้อมในอาคารสูง

หนึ่งในบทเรียนสำคัญจากแผ่นดินไหวในไทยคือ ประชาชนยังขาดความรู้และความพร้อมในการรับมือ ข้อมูลพบว่า กว่า 70% ของอาคารในกรุงเทพฯ สร้างขึ้นก่อนที่กฎหมายแผ่นดินไหวฉบับล่าสุดจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งหมายความว่าอาคารจำนวนมากอาจไม่สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีพอ

ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ:

•  ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่สามารถแจ้งเตือนประชาชนก่อนเกิดแผ่นดินไหว
•  การฝึกซ้อมอพยพในอาคารสูง ปัจจุบันพบว่า ไม่ถึง 30% ของอาคารในกรุงเทพฯ จัดการฝึกซ้อมแผ่นดินไหวเป็นประจำทุกปี
•  การออกแบบพื้นที่สาธารณะให้สามารถเป็นจุดรวมพลที่ปลอดภัย

ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ (รัฐแคลิฟอร์เนีย) มีระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวที่สามารถแจ้งเตือนได้ภายในไม่กี่วินาทีก่อนเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งช่วยลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ถึง 50%

3. Governance (ธรรมาภิบาล): นโยบายและมาตรการด้านความปลอดภัย

แม้ว่ากฎหมายควบคุมอาคารของไทยจะมีมาตรการเกี่ยวกับแผ่นดินไหว แต่ การบังคับใช้และการตรวจสอบยังมีช่องว่าง หลายอาคารโดยเฉพาะอาคารเก่าไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรการที่ควรนำมาใช้เพิ่มเติม ได้แก่:

•  การตรวจสอบโครงสร้างอาคารเป็นประจำ โดยเฉพาะอาคารสูงที่มีอายุเกิน 20 ปี
•  การให้ สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับอาคารที่ปรับปรุงให้รองรับแผ่นดินไหว
•  การบังคับให้เจ้าของอาคารต้องมีแผนรองรับภัยพิบัติและระบบเตือนภัย

นักลงทุนทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG ข้อมูลจาก Morgan Stanley พบว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับ ESG มีผลตอบแทนสูงกว่ากองทุนทั่วไปเฉลี่ย 6% ต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืนจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว

อนาคตของเมืองไทย ต้องเติบโตอย่างยั่งยืนและปลอดภัย


แผ่นดินไหวเป็นเพียงหนึ่งในความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในอนาคต นอกจากนี้ยังมีปัญหาน้ำท่วม ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น การพัฒนาเมืองไทยต้องไม่ใช่แค่การเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นการเติบโตที่ปลอดภัยและยั่งยืนตามแนวทาง ESG

•  ภาคธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์ต้องลงทุนในมาตรฐานอาคารที่ทนแผ่นดินไหว
•  ภาครัฐต้องเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายและพัฒนาระบบเตือนภัย
•  ประชาชนต้องมีความรู้และเตรียมพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหวอยู่เสมอ

Resilience ไม่ได้หมายถึงแค่การฟื้นตัวจากภัยพิบัติ แต่คือการออกแบบเมืองให้พร้อมรับมือได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น

ถึงเวลาที่เมืองไทยต้องสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจ แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมทางด้าน ESG ทาง ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ยินดีให้ข้อมูลและให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์สูงสุดในด้านความปลอดภัยของอาคาร


บทความโดยคุณภัสสรีภัคว์ ศรีกัญจนานนท์ หัวหน้าแผนกบริหารอาคาร ซีบีอาร์อี ประเทศไทย